Monday, September 17, 2018
Chemistry news 10
อันตรายสารเคมีเข้าตาเสี่ยงตาบอด
บ่อยครั้งเรามักได้ยินข่าวหวาดระแวงหึงหวงกัน จนลงเอยด้วยการสาดน้ำกรดบนใบหน้า และที่พบบ่อยร้ายที่สุด คือดวงตาซึ่งเจ้าตัวมักไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ว่าไปแล้วเรื่องเหล่านี้ถือเป็นอาชญากรรมทีเดียว เพื่อบรรเทาเหตุร้ายเช่นนี้ เรามีความรู้เกี่ยวกับเจ้าสารพิษมาเล่า ไม่แน่สักวันคุณอาจได้ช่วยใครบางคนที่ถูกทำร้ายก็ได้
อุบัติเหตุจากสารเคมีเข้าตา อาจเกิดจาก
1.อุบัติเหตุ จากการทำงาน เช่น โดนสารเคมีที่ใช้ในโรงงาน เช่น โซดาไฟ โดนน้ำจากแบตเตอรี่รถยนต์ โดนน้ำยาล้างหรือน้ำยาขัดห้องน้ำ ยาฆ่าแมลง ยาฉีดกันยุง ได้รับสารเคมีผงคาร์บอนไดออกไซด์เข้าตาขณะไปช่วยดับเพลิงแล้วถังเกิดระเบิด
1.อุบัติเหตุ จากการทำงาน เช่น โดนสารเคมีที่ใช้ในโรงงาน เช่น โซดาไฟ โดนน้ำจากแบตเตอรี่รถยนต์ โดนน้ำยาล้างหรือน้ำยาขัดห้องน้ำ ยาฆ่าแมลง ยาฉีดกันยุง ได้รับสารเคมีผงคาร์บอนไดออกไซด์เข้าตาขณะไปช่วยดับเพลิงแล้วถังเกิดระเบิด
2. การโดนทำร้ายร่างกาย เช่น ใช้น้ำกรดสาดหน้า แล้วโดนตาทั้ง 2 ข้าง หรือโดนก๊าซน้ำตา
ซึ่งสารเคมีโดยทั่วไปมี 2 ชนิด คือ กรด และด่าง
ซึ่งสารเคมีโดยทั่วไปมี 2 ชนิด คือ กรด และด่าง
โดยทั่วไป ด่าง มีความรุนแรงมากกว่ากรด สามารถทำลายเปลือกตา เยื่อบุตา ผิวนอกของกระจกตา และยังสามารถแทรกซึมผ่านเข้าไปทำลายดวงตา และส่วนต่างๆ ภายในดวงตาได้ เช่น ทำให้เกิดม่านตาอักเสบต้อกระจก และต้อหิน
ส่วนกรด การทำลายมักจะจำกัดอยู่เฉพาะบริเวณผิวชั้นนอกของลูกตา เปลือกตา เยื่อบุตา ผิวกระจกตา เนื่องจากคุณสมบัติของกรด เมื่อทำปฏิกิริยากับโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อแล้ว ทำให้โปรตีนแข็งตัวรวมกัน เป็นเหมือนผนังกั้นไม่ให้กรดนั้นซึมผ่านเข้าไปในลูกตาได้อีก เพราะฉะนั้น การทำลายที่เกิดขึ้นจากกรดมักจำกัดอยู่เฉพาะบริเวณชั้นผิวตื้นๆ เท่านั้น
ทั้ง นี้ อันตรายของสารเคมีเข้าตายังขึ้นกับความเข้มข้นของสารเคมี ปริมาณสารเคมีที่เข้าตา และระยะเวลาที่สัมผัส แม้ด่างจะรุนแรงกว่ากรด แต่ถ้ากรดที่มีความเข้มข้นสูงจะมีความรุนแรงไม่แพ้ด่างทีเดียว
อีกทั้งระยะเวลาที่สารเคมีสัมผัสดวงตา หรือส่วนต่างๆ ภายในดวงตา ถ้าสัมผัสอยู่นาน ก็จะมีความเสียหายของดวงตามาก ถ้าความเสียหายของตาไม่รุนแรง สามารถหายเป็นปกติได้ ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที
แต่ถ้าความเสียหายของตารุนแรงมากจะรักษายาก แม้จะรักษาเต็มที่ ก็อาจสูญเสียดวงตา มีภาวะแทรกซ้อนในตามากจนถึงตาบอดในที่สุด
อาการที่เกิดจากสารเคมีเข้าตา มีดังนี้
-หากโดนเปลือกตา เยื่อบุตา กระจกตาดำ ระยะแรกจะบวมแดง ปวดแสบปวดร้อน เคืองตา น้ำตาไหลมาก และสู้แสงไม่ได้
-หากโดนเปลือกตา เยื่อบุตา กระจกตาดำ ระยะแรกจะบวมแดง ปวดแสบปวดร้อน เคืองตา น้ำตาไหลมาก และสู้แสงไม่ได้
-ถ้าโดนกระจกตาดำ จะทำให้สายตาพร่ามัว เมื่อตรวจตา จะพบการมองเห็นลดลง ในรายที่ รุนแรง กระจกตาดำจะเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาว และผิวกระจกตาดำหลุดลอก
-ในรายที่มีความเสียหายของตามาก จะเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นทำให้เปลือกตาผิดรูปไป เช่น ขนตาม้วนเข้า หรือม้วนออก ตาแห้งชนิดรุนแรง เยื่อบุตาติดกับเปลือกตา ทำให้กรอกตาหรือเปิดเปลือกตาไม่ได้ กระจกตาเป็นฝ้าขาว มีเส้นเลือดเข้ามาในกระจกตา กระจกตาบางลงจนถึงทะลุได้ มีต้อหินและต้อกระจกแทรกซ้อนและตาบอดในที่สุด
-ในรายที่มีความเสียหายของตามาก จะเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นทำให้เปลือกตาผิดรูปไป เช่น ขนตาม้วนเข้า หรือม้วนออก ตาแห้งชนิดรุนแรง เยื่อบุตาติดกับเปลือกตา ทำให้กรอกตาหรือเปิดเปลือกตาไม่ได้ กระจกตาเป็นฝ้าขาว มีเส้นเลือดเข้ามาในกระจกตา กระจกตาบางลงจนถึงทะลุได้ มีต้อหินและต้อกระจกแทรกซ้อนและตาบอดในที่สุด
-รู้ถึงความรุนแรงของสารเคมีเข้าตาแล้ว สิ่งที่ต้องทำทันที คือ การล้างตาด้วยน้ำสะอาดที่อยู่ใกล้มือที่สุด ถ้าหาน้ำอะไรไม่ได้ให้ใช้น้ำประปาล้างมากๆ นาน 20
ที่มา : https://guru.sanook.com/9600/
Chemistry news 9
รู้หรือไม่ ? ใครชอบแต่งหน้า เสี่ยงสะสมสารเคมี 2 กิโลต่อปี
แค่ฟังก็ตกใจ ! สาวๆ บางคนอาจจะคิดไม่ถึงเลยว่า การแต่งหน้าของเรา เป็นไปได้ที่จะมีสารเคมีสะสม 2 กิโลเชียวหรือ .. . วันนี้ Woman+ เลยหยิบคอลัมน์ Beauty tips มาชี้แจงแถลงไขให้ได้ทราบกันครับ
ปัจจุบันผู้หญิงถึง 70% แต่งหน้า และยิ่งเดี๋ยวนี้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เป็นเรื่องง่าย เพียงแค่คลิกเดียวสาวๆ ก็สามารถรับข้อมูลข่าวสารได้อย่างมากมาย ทำให้สามารถแต่งหน้าได้หลากหลายและสนุกยิ่งขึ้น โดยเลือกสไตล์การแต่งหน้าได้ตามแบบที่แต่ละคนชื่นชอบรู้กันหรือไม่ว่าในเครื่องสำอางที่ใช้กันอยู่แทบจะทุกวันนั้นมีส่วนประกอบของสารเคมีอยู่ระหว่าง 80 – 90%
ซึ่งถ้าหากสาวๆ ไม่ดูแลปกป้องผิวหน้ากันอย่างดีแล้ว นอกจากจะได้ผิวหน้าหมองคล้ำ มีริ้วรอยเป็นของแถมแล้ว ยังเสี่ยงต่อการสะสมสารเคมีในร่างกายถึงปีละ 2 กิโลกรัม ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับผิว ความผิดปกติด้านฮอร์โมน หรือแม้กระทั่งก่อเกิดมะเร็งได้ ประเด็นนี้คุณหมอโทนี่ วรพล สุขีวัฒนา ย้ำว่า การแต่งหน้าเยอะทุกวันทำให้ผิวหน้าได้รับออกซิเจนน้อยลงทำให้เซลล์เสื่อม และดูมีอายุก่อนวัย ถึงแม้จะมีการทำความสะอาดเป็นอย่างดีก่อนนอน ดังนั้นยิ่งผู้หญิงยิ่งแต่งหน้าหนามากเท่าไหร่ จะยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อการดูแก่ก่อนวัยและผิวหมองคล้ำมากขึ้นเท่านั้น
ที่มา : https://www.sanook.com/women/31673/
Chemistry news 8
พบถังบรรจุสารเคมีต้องสงสัยว่าเป็น สารฝนเหลือง ที่สนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
19 มีนาคม 2542 พบถังบรรจุสารเคมี สภาพผุกร่อนขนาด 200 ลิตร ซึ่งไม่มีสารเคมีหลงเหลืออยู่ 1 ถัง และถังบรรจุสารเคมีจำนวน 5 ถัง ขนาดบรรจุ 15 ลิตร มีข้อความและหมายเลขกำกับว่า "Delaware Barrel PAT NO 2842282, Tri-sure, American lange, NY" ต้องสงสัยว่าเป็น "สารฝนเหลือง" ที่สนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทุกฝ่ายเรียกร้องให้มีการตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเป็นสารเคมีตัวเดียวกับ "สารฝนเหลือง" (Agent Orange) ซึ่งสหรัฐอเมริกานำมาใช้ในยุคสงครามเวียดนามระหว่างปี 2504-2518 เพราะเป็นสารกำจัดวัชพืชชนิดรุนแรงที่ทหารอเมริกันใช้ฉีดพ่นเหนือผืนป่าอันกว้างใหญ่ของเวียดนามใต้ เพื่อทำลายป่าที่หลบซ่อนของทหารเวียดกง โดยมีการประมาณกันว่า อเมริกันใช้ฝนเหลืองร้อยละ 60 หรือ 42 ล้านลิตร จากจำนวนสารเคมี 72 ล้านลิตรที่ใช้ไปในสงครามครั้งนั้น
ที่มา : https://guru.sanook.com/25936/
Cheemistry news 7
อ.เจษฎาเตือน! สารเคมีจากเคสมือถือกลิตเตอร์อาจเสี่ยงผิวหนังไหม้-พุพอง
เคสโทรศัพท์มือถือชนิดที่สามารถใส่ของเหลว ทั้งแบบมีสีและไม่มีสี ผสมกลิตเตอร์ หรือกากเพชรวิววับ เป็นที่นิยมในหมู่คนไทย และชาวต่างชาติมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เห็นทีจะไม่ปลอดภัย 100% เมื่อมีรายงานข่าวจากต่างประเทศว่า เด็กหญิง 9 ขวบ เกิดเหตุของเหลวจากเคสโทรศัพท์มือถือรั่วไหล สัมผัสบนผิวหนังขณะนอนหลับทับเคส ตื่นเช้ามาพบรอยไหม้ และพุพอง
นอกจากนี้ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังเตือนว่าหากผิวหนังสัมผัสของเหลวภายในเคสมือถือ ให้รีบล้างออกด้วยน้ำเปล่ามากๆ เพื่อป้องกันผิวหนังพุพองจากสารเคมี
__________
"ระวังอันตรายจากสารเคมี ในเคสมือถือ กลิตเตอร์
ปรกติผมไม่ค่อยชอบโพสต์แบบเตือนภัยอันตรายต่างๆ เพราะเดี๋ยวนี้กลัวว่าพลังของโซเชียลมันจะทำให้สังคมแตกตื่นเกินไป แต่เรื่องนี้เห็นว่ายังไม่ค่อยเป็นที่ตระหนักกัน จึงขอยกขึ้นมาหน่อยเถอะ
ทางรายการ "ทุกข์ชาวบ้านสุดสัปดาห์" ช่อง TNN24 ได้มาขอสัมภาษณ์จากกรณีข่าวที่มีเด็กหญิงวัยแค่ 9 ปี นอนทับเคสโทรศัพท์มือแบบที่มีของเหลวใสใส่ตัวกลิตเตอร์สะท้อนแสงวาวๆ อยู่ด้านหลัง (http://www.mirror.co.uk/…/uk-news/girl-9-left-iphone-shaped…) แล้วตื่นเช้ามา เกิดเป็นรอยแผลไหม้สารเคมีพุพอง ... เรื่องนี้จริงเท็จเป็นเช่นไร
จากการเช็คกูเกิ้ล แม้ว่าจะยังไม่เคยมีรายงานอันตรายลักษณะนี้ในไทย แต่ในต่างประเทศมีคนเจอแล้วหลายราย ทั้งในอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ จนเชื่อได้ว่าน่าจะเรื่องจริง ที่สำคัญที่ ไม่มีการเขียนเตือนไว้เลยที่กล่องสินค้า ว่าให้ระวังอันตรายจากสารเคมี
แม้ว่าจะไม่ทราบว่าสารเคมีข้างในนั้นคืออะไร (สงสัยต้องขอให้ อ.อ๊อด Weerachai Phutdhawong ช่วยตรวจดู) แต่เท่าที่ลองซื้อมาจากร้านค้าทั่วไป แล้วเจาะเอามาทดสอบง่ายๆ พบว่า ของเหลวในนั้น มันมีกลิ่นฉุนรุนแรง นิ้วแตะๆ ดูแล้วรู้สึกร้อน ลองเอาไปเทราดเนื้อไก่ไว้ พบว่าเนื้อไก่เปื่อยยุ่ยใน 10 นาที (เสียดายว่าวัดพีเอชด้วยกระดาษอินดิเคเตอร์ ไม่พบว่าเป็นกรดหรือด่างเข้มข้น) จึงน่าจะฟันธงได้ว่า มันเป็นสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายได้จริงๆ ถ้ารั่วซึมออกมา
ดังนั้น การใช้เคสมือถือกลิตเตอร์แบบนี้จึงควรระวังเป็นอย่างมาก อย่าไปทำให้มันแตกรั่วซึม ถ้าสัมผัสร่างกาย ให้ล้างออกด้วยน้ำเปล่าเยอะๆๆ
Advertisement
ที่ขอเรียกร้องอีกอย่างคือ ผู้ประกอบการเอง ก็ควรจะเขียนคำเตือนไว้ให้ชัดเจนบนกล่องสินค้าด้วย (เท่าที่เช็คกัน แม้แต่ยี่ห้อแพงๆ ก็ไม่เขียนคำเตือน)”
__________
"ระวังอันตรายจากสารเคมี ในเคสมือถือ กลิตเตอร์"ปรกติผมไม่ค่อยชอบโพสต์แบบเตือนภัยอันตรายต่างๆ เพราะเดี๋ยวนี้กลัวว่าพลังข...Posted by Jessada Denduangboripant on Tuesday, February 23, 2016
อัพเดต! (4/3/16) รองศาสตราจารย์ ดร. วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์และนักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการทดสอบของเหลวในเคสมือถือ พบว่าเป็นสาร n-Decane หรือเรียกสั้นๆว่า "เด็คเคน (Decane)" ปกติเป็นสารชะล้างในโรงงานอุตสาหกรรมล้างไขมัน เช่น ล้างแผงวงจรอิเล็กโทรนิค เป็นตัวทำละลายในปิโตรเคมี และในห้องปฏิบัติการเคมี ดังนั้นเมื่อผิวหนังของคนเรามีไขมันเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย จึงเห็นแผลเปื่อยๆ จากการปฏิกิริยากับสารเด็คเคนได้ แต่กว่าสารจะออกฤทธิ์กับผิวหนัง ต้องสัมผัสกับสารนั้นนานๆ อย่างน้อย 15 นาที ดังนั้นหากสัมผัสสารดังกล่าว ควรรีบล้างน้ำสะอาดนานๆ เพื่อกำจัดสารนั้นออกไปจากผิวหนังให้เร็วที่สุด
ที่มา : https://www.sanook.com/health/2777/
Chemistry news 6
อันตราย! ผักไทยพบสารเคมีตกค้างเกือบ 100% แทบทุกชนิด
ไม่ว่าจะช่วงเทศกาลกินเจ หรือช่วงปกติ การทานผักเป็นเรื่องที่เราควรทำเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี แต่ข่าวร้ายคือ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (รพ.ศิริราช) ตรวจพบสารเคมีตกค้างจากยาฆ่าแมลงในผักสดของไทยหลายชนิด ที่เกินค่ามาตรฐานไปมาก กล่าวคืออยู่ที่ 85-100% เลยทีเดียว นับว่าเป็นตัวเลขที่น่ากลัว จนต่างประเทศรับไม่ได้อย่างแน่นอน
พบสารเคมีเกือบ 100% จริง!
จากคลิปจะเห็นได้ว่า ตรวจพบผักที่มีสารเคมีจากยาฆ่าแมลงตกค้างอยู่หลายชนิด เช่น ผักคะน้า พบสารเคมีตกค้างอยู่ที่ 85% ผักบุ้งจีน 98% ผักกวางตุ้ง 99% และกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ แตงกวา พบมากถึง 100% เรียกได้ว่าพบสารเคมีตกค้างทุกแหล่งผลิตเลยก็ว่าได้ เพราะคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (รพ.ศิริราช) สุ่มเก็บตัวอย่างมาทดสอบจากกว่า 100 แห่ง จากหลายจังหวัดทั่วประเทศ และในทุกฤดูกาลเลยทีเดียว
ปลูกผักผลไม้ที ใช้สารเคมี 20 กว่าชนิด?
นอกจากจะเจอสารเคมีตกค้างในผักยอดนิยมของคนไทยหลายชนิดแล้ว แต่ละชนิดยังไม่ได้พบสารเคมีแค่ตัวเดียวอีกด้วย เช่น ในผักคะน้า พบสารเคมีตกค้างมากถึง 12 ชนิด มังคุด พบสารตกค้างมากถึง 20 ชนิด หรือว่าจะเป็นส้มที่พบมากถึง 21 ชนิดเช่นกัน นั่นหมายความว่าเกษตรกรใช้สารเคมีมากถึง 21 ชนิดในการปลูกส้มนั่นเอง
ถูก-แพง ก็พบสารเคมีเหมือนกัน!
นอกจากนี้ รศ. ดร. สมพนธ์ วรรณวิมลรักษ์ จากศูนย์วิจัยพัฒนานวัตกรรม คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ดำรงตำแหน่งหัวหน้าโครงการวิจัยผัก และผลไม้ที่ปลอดภัยเพื่อครัวโลก ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ราคาของผักไม่ได้การันตีว่าจะไม่พบสารเคมี หรือพบสารเคมีมากกว่าหรือน้อยกว่าแต่อย่างใด จากการสุ่มตรวจหาสารเคมีตกค้างในผักผลไม้ทั้งจากตลาดสด และในซุปเปอร์มาร์เก็ตขึ้นหาก ทั้งจากแหล่งผลิตที่เขียนข้างบรรจุภัณฑ์ชัดเจนว่า “ผักปลอดสารพิษ” “ผักอินทรีย์” สุดท้ายก็เจอสารเคมีเพียบ นั่นหมายความว่าเราจ่ายเงินมากกว่าหลายเท่า แต่ได้ผักผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างมากเท่าๆ กับผักผลไม้ในตลาดสด
เคล็ดลับการล้างผักผลไม้ เพื่อลดสารพิษ ยาฆ่าแมลง สารเคมีตกค้างต่างๆ
1. ล้างผักผลไม้ด้วยด่างทับทิม ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 20-30%
2. ล้างด้วยน้ำผสมน้ำส้มสายชู ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 30-40%
3. ล้างด้วยน้ำผสมผงฟู หรือเบกกิ้งโซดา ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 30-40%
4. ล้างผักด้วยวิธีน้ำไหล โดยแยกใบผัก กลีบผักออกมา แช่ในน้ำ 10 นาที จากนั้นหยิบใบผักขึ้นมา เปิดก็อกให้น้ำไหลผ่านผักและผลไม้ทีละใบ ทีละก้าน ถูๆ ให้สะอาดราว 2 นาที วิธีนี้ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 60-70%
มาถึงตรงนี้ ในฐานะผู้บริโภคก็ควรจะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง ด้วยการใส่ใจล้างผัก และผลไม้อย่างถูกวิธี แต่ในทางกลับกัน การพบสารเคมีตกค้างในผัก และผลไม้เกินค่ามาตรฐานทั่วประเทศไทย ไม่เว้นจากแหล่งผลิตที่แปะป้ายไว้ว่าผักปลอดสารพิษ ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ภาครัฐควรเข้ามาตรวจสอบ แก้ไข และพัฒนาให้ดีขึ้น ให้ถูกต้อง
ที่มา : https://www.sanook.com/health/5021/
Chemistry news 5
โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ชี้แจง เหตุสารเคมีรั่วไหลไม่ใช่ “ไซยาไนด์”
การไฟฟ้าแม่เมาะแจงเหตุสารเคมีรั่วไหล คือ กรดไฮโดรคลอริก เมื่อถูกน้ำจะเกิดเป็นไอมีกลิ่นฉุน ตามมาตรการด้านความปลอดภัย จึงให้พนักงานที่ปฏิบัติงานออกไปอยู่ในที่ปลอดภัย
นายศานิต นิยมาคม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์การ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ชี้แจงถึงกรณีที่ช่วงเช้าวันที่ 6 พฤษภาคม มีกระแสข่าวว่า เกิดเหตุสารไซยาไนด์รั่วภายในบริเวณสถานที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทน เครื่องที่ 4-7 และมีการอพยพคนงานออกจากพื้นที่ดังกล่าว โดยกฟผ. ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า สารเคมีดังกล่าวไม่ใช่สารไซยาไนด์
ทั้งนี้ ภายหลังเกิดเหตุสารเคมีที่ใช้ปรับสภาพน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตไฟฟ้ามีการรั่วซึม ได้ดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยเร่งด่วนจนสถานการณ์คลี่คลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติเรียบร้อย เจ้าหน้าที่และคนงานกลับเข้าไปปฏิบัติงานได้ตามปกติ พร้อมยืนยันว่าไม่มีผู้ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 4-7 (MMRP1) พบเหตุ “กรดไฮโดรคลอริค (HCL) หรือ กรดเกลือ” รั่วไหลในปริมาณเล็กน้อยระหว่างการทดสอบระบบ จึงได้ให้คนงานที่อยู่ในรัศมี 10 เมตร ออกไปอยู่ที่จุดรวมพล เพื่อความปลอดภัย และเป็นการปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย ระดับที่ 1
กรดไฮโดรคลอริค (HCL) หรือ กรดเกลือ เป็นสารเคมีที่มีไว้ใช้สำหรับปรับสภาพน้ำที่ใช้ในโรงไฟฟ้า เพื่อให้ได้น้ำที่มีคุณภาพก่อนน้ำไปใช้ในระบบ
ที่มา : https://www.sanook.com/news/6334854/
Subscribe to:
Posts (Atom)